top of page

.

อย่าไปคาดหวังความถูกใจจากใครคนอื่น

แม้นใจของเราแท้ๆ ยังบังคับให้ถูกใจฝ่ายเดียวไม่ได้

“อยู่กับคนก็อย่าไปหลงคำคน อยู่กับตนก็ให้เข้าใจตน”

จึงจะถูกต้อง



จวงจื่อ เป็นจอมปราชญ์สำนักคิดเต๋าแห่งแผ่นดินจีน มีชีวิตเมื่อราว ๒,๓๐๐ ปีที่แล้ว

จวงจื่อเล่าว่า มีชายคนหนึ่งรำคาญเงาของตัวเองมาก อีกทั้งยังทนรอยเท้าของตนไม่ได้ จึงพยายาม วิ่งหนีจาก ๒ สิ่งนี้ แต่ไม่ว่าจะวิ่งไปไหน เงาและ รอยเท้าก็ยังติดตามไป เขาคิดว่า คงวิ่งไม่เร็วพอ จึงเร่งฝีเท้าไม่ยอมหยุดวิ่งแล้ววิ่ งเล่าจนในที่ สุดเขาก็หมดแรงล้มลง และถึงแก่ความตาย


จวงจื่อได้ทิ้งท้ายข้อคิดว่า

“เขาหารู้ไม่ว่า แค่เพียงเขาเข้าร่ม เงานั้นก็จะหายไป และถ้าเขานั่งนิ่ง ๆ ก็จะไม่มีรอยเท้าเลย”


นิทานเรื่องนี้สะท้อนให้เห็นความจริง ๒ ด้าน ก็คือ “ด้านมืดและด้านสว่าง”

ด้านมืด เป็นปมด้อยที่เราเป็นอยู่ แต่เราไม่เคยพอใจกับสิ่งนี้ แล้วก็พยายามสลัดทิ้งไป ปมด้อยนี้ยิ่งพยายามสลัดทิ้งวิ่งหนีมากเท่าไร การพอกพูนปมก็ยิ่งเกาะสนิทอยู่ในใจมากขึ้นเท่านั้น เพราะเราไม่พอใจตนเอง และปรารถนาอยู่ในโลกสวยของผู้อื่น

ส่วนด้านสว่างนั้น เป็นการดำเนินชีวิตด้วยปัญญา พอใจในสิ่งที่มี พอดีกับสิ่งที่เป็น ไม่หลงเป็นทาสวัตถุภายนอก ให้ความสำคัญกับสาระชีวิต ซึ่งชีวิตด้านสว่างจะเกิดขึ้นได้ด้วยเหตุ ๒ ประการ คือ


๑. รู้จักเลือกแหล่งสาระชีวิต รับฟังคำแนะนำสั่งสอน เล่าเรียนความรู้ สนทนาซักถาม และหมั่นสดับสัทธรรมจากท่านผู้เป็นกัลยาณมิตร

๒. รู้จักคิดตามเหตุปัจจัย รู้จักคิด คิดเป็น รู้จักสืบสาวหาสาเหตุ แยกแยะสิ่งนั้นหรือปัญหานั้นๆ ออก ให้เห็นตามความสัมพันธ์แห่งเหตุปัจจัย


การคาดหวังย่อมประสบผลแค่

“ผิดหวังและสมหวัง” เท่านั้น

ชีวิตเราก็เช่นกัน จริง ๆ ไม่มีอะไรมาก

เพราะเรา “ไม่เข้าใจ”

จึงต้องหลงเวียนว่ายตายเกิดอยู่อย่างนี้


.

| พระมหาอ้าย ธีรปัญโญ จากหนังสือ เอาไงดีกับชีวิต |

9 views

Updated: Jul 30, 2018

.

เรื่องใดเกิดขึ้น ความจริงยังไม่สรุปจบ

อย่าเพิ่งไปปล่อยข่าวเล่าต่อ โดยเฉพาะข้อมูลที่ยังไม่รู้แจ้งชัด

พึงระวังเมื่อ “ความจริง” เปิดเผย จะกลับกลายมาเป็นหอกแหลม

ทิ่มแทงตนเองในภายหลัง “ไม่รู้จริง ก็พึงนิ่งไว้”


นก ๒ ตัว ทะเลาะกันอยู่บนต้นไม้ ต่างก็ไม่ยอมซึ่งกันและกัน

ยิ่งนานวัน น้ำเสียงและสีหน้าของมันก็ยิ่งรุนแรงขึ้น นกฝั่งซ้ายจึงคว้าเอาอะไรบางอย่างขว้างใส่นกฝั่งขวา เมื่อสิ่งที่มันปาไปถูกนกฝั่งตรงข้าม กลับทำให้มันตกใจเป็นอย่างยิ่ง

เพราะสิ่งที่ปาไปนั้นก็คือ “ไข่ฟองสุดท้าย” ที่เหลืออยู่ในรังนั่นเอง


จากเรื่องราวนี้ทำให้ได้ข้อคิดว่า เมื่อความโกรธเกลียด เคียดแค้น ชิงชังมาบังตา

จะทำให้มองไม่เห็นภัยที่จะตามมา แม้นสิ่งที่อยู่ข้างหน้า จะมีคุณค่าและมีราคามากมายเพียงใดก็ตาม

ผู้ที่ไม่มีสติรับมือ เวลาเจอปัญหาหรือเจอเรื่องแย่ ๆ ก็มักจะควบคุมอารมณ์ตนเองไม่ได้

และไหลไปตามกระแสอารมณ์ฝ่ายร้อน กระทั่งเมื่อเรื่องราวสงบลง

ผลสรุปสุดท้าย ผู้ที่เสียหายเจ็บหนักที่สุดก็คือ “ตัวเรา”


การใช้ชีวิตในยุคดิจิทัลให้ประสบสุข จึงควรมีสติเป็นตัวเบรกอารมณ์ฝ่ายร้อนให้กลับกลายเป็นฝ่ายเย็น ด้วยธรรมวิธี “จง ๕ อย่า ๓”

๑. จงเป็นอยู่กับความจริง

๒. จงสงบนิ่งเมื่อเกิดเวรภัย

๓. จงเอาใจเขามาใส่ใจเรา

๔. จงเข้าหากัลยาณมิตร

๕. จงหมั่นคิดในทางบวก

และ

๑. อย่าเพิ่งเชื่อเรื่องลือเล่า

๒. อย่าเพิ่งเผยแพร่ข่าวสาร

๓. อย่าเพิ่งท้อว่าหมดหวัง

.

| พระมหาอ้าย ธีรปัญโญ จากหนังสือ เอาไงดีกับชีวิต |


3 views

.

ยังไม่ก่อ... ก็บอกว่า “เวรกรรม”

ยังไม่ทำ... ก็บอกว่า “มันยาก”

ยังไม่ลำบาก... ก็บอกว่า “ไม่ไหว”

ยังไม่มีอะไร... ก็บอกว่า “หมดตัว”



กล่าวถึงโรคร้ายชนิดหนึ่งที่คนในยุคนี้ เป็นกันเยอะก็คือ “โรคหลอกตัวเอง” หรือ “โรคมโน”

คนเป็นโรคนี้มักจะมีสภาพจิตที่อ่อนไหว แปรปรวนง่าย ชอบพูดโกหก แต่งเรื่องขึ้นมาหลอกตัวเองอยู่ซ้ำๆ เพื่อเรียกร้องความสนใจจากคนรอบข้าง


หากรู้สึกว่ามีส่วนโรคนี้อยู่บ้าง ก็ควรปฐมพยาบาลเบื้องต้น ด้วยการเข้าหากัลยาณมิตร ทำบุญรักษาศีล มีทัศนคติเชิงบวก หมั่นบำเพ็ญภาวนา

การปฏิบัติสมาธิจะช่วยให้จิตใจสงบ ระงับจากเรื่องอื่นๆ ได้มาก

จากจิตที่ร้ายก็จะกลายเป็นจิตตื่นรู้ และเบิกบานในที่สุด


ดังมีเรื่องเล่าว่า มีโจรกลุ่มหนึ่งเที่ยวปล้นผู้คนไปทั่วโดยไม่เกรงกลัวอาญาแผ่นดิน

วันหนึ่งได้วางแผนปล้นครอบครัวของสามีภรรยาคู่หนึ่ง ระหว่างที่รอจังหวะเข้าปล้นนั้น

ฝนได้ตกลงมาอย่างหนัก จึงพากันวิ่งไปหลบฝนที่ใต้ถุนบ้าน

ระหว่างนั้น ภรรยาได้ลงมาเก็บของที่ใต้ถุนและพบโจรกลุ่มนี้เข้าพอดี

เธอเข้าใจว่า โจรกลุ่มนี้เป็นคนเดินทางทั่วไป ที่เข้ามาหลบฝนชั่วคราว

จึงโอภาปราศรัยด้วยถ้อยคำที่มีไมตรีจิต และเชิญชวนกินข้าวเย็นด้วยกัน


โจรจึงพากันขึ้นไปกินข้าวบนบ้าน และได้พบสามีของเธอซึ่งมีอัธยาศัยดีไม่แพ้กัน

หลังจากกินข้าวเสร็จแล้ว พวกโจรก็ล้มเลิกความคิดที่จะปล้นบ้านหลังนี้ และได้บอกความจริงถึงสถานะ ของตน พร้อมกับขอโทษที่คิดไม่ดีและรับประกันว่า จะไม่มีใครมาทำร้ายครอบครัวสามีภรรยาคู่นี้ตั้งแต่บัดนี้ไป จากนั้นพวกโจรจึงลากลับโดยไม่แตะต้องทรัพย์สินแต่อย่างใด


การคิดบวกเป็นยาแก้โรคมโนขนานแท้ ดังกรณีเรื่องสามีภรรยาผู้มองโลในแง่ดีนี้

เป็นเหตุให้รอดพ้นจากโจรปล้นขโมย เพราะเมื่อใดก็ตามที่คนคิดมีเหตุผล คิดเชื่อมโยงเป็นมีความยืดหยุ่นในการใช้ชีวิต เมื่อนั้นคนผู้นั้นก็จะไม่จมอยู่กับปัญหา มีความเชื่อมั่นตนเอง สามารถเรียนรู้อยู่กับตนเองได้อย่างมีความสุข และพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาสที่ดีได้เร็วกว่าคนอื่นๆ


ยาแก้โรคมโน

หนักแน่น... จากคำคน

ข้ามพ้น... จากอุปสรรค

ตระหนักสู้... จากปัจจุบัน

สำคัญ... จากสิ่งที่เป็นอยู่

เรียนรู้... จากสิ่งธรรมดา

สืบชะตา... จากความดี

เต็มที่... จากชีวิตที่เหลือ


.

| พระมหาอ้าย ธีรปัญโญ จากหนังสือ เอาไงดีกับชีวิต |

13 views
bottom of page